หลวง พระ บาง
วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555
วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555
ศรีลังกา
ศรีลังกา มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ที่เรารู้จักกันดีคือตำนานเรื่อง รามยณะ
(หรือรามเกียรติ ของเรา) ที่ถือว่าเป็นเสมือนบันทึกในยุคก่อนประวัติศาสตร์ กรุงลงกา
ก็คือลังกา นี่เอง ตำนานยุคต่อมาคือ เรื่อง เจ้าชาย วิชชายะ (Vijaya)
ซึ่งบันทึกเป็นตำนานในภาษาบาลี คือ ดิภาวามสะ (Dipavamsa) , มหาวามสะ (Mahavamsa)
และ จุลละวามสะ (Chulavamsa) ประวัติศาสตร์ตรงนี้คาดว่า
เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ตำนานกล่าวว่า เจ้าชาย วิชชายะ (เรียกสั้นๆ แบบไทย
คงเป็น วิชัย) อพยพออกจากดินแดนของตนพร้อมทั้งไพร่พล มาจากอินเดียโดยทางเรือ
ตำนานกล่าวว่า เจ้าชายมีบิดาเป็นลูกครึ่งสิงห์-มนุษย์ เจ้าชาย วิชชยะ
นี่เองคือที่มาของคำว่า สิงหล
จากยุคของพระเจ้า วิชชยะ ซึ่งถือว่าเป็นกษัตริย์องค์แรกของลังกา มาถึงยุคของราชวงศ์ อนุราชปุระ (Anuradhapura dynasty) ซึ่งเริ่มขึ้นในราว ๒๕๐ ปีก่อนค.ศ. ในยุคนี้ก็มีเริ่มมีการแย่งชิงอำนาจกันแล้วระหว่างชาวสิงหลและชาวทมิฬ ต่อมากษัตริย์ เอลาร่า (ปี ๒๓๕-๑๖๑ ก่อนค.ศ.) แห่งราชวงศ์ โจละ (ชาวทมิฬ) ก็แผ่ขยายอำนาจเหนือลังกา แต่ก็ถูกกษัตริย์ Dutthagamani ชาวสิงหล เอาชนะได้ในปี ๑๖๑ ก่อนค.ศ. ชาวสิงหลกับชาวทมิฬ ยังคงรบกันเรื่อยมา
ก่อนฝรั่งชาติตะวันตกจะเข้ามา บนเกาะลังกามีอาณาจักรอยู่ ๓ อาณาจักร คือ ศรีชยวาเทนปุระ (Sri Jayawardenapura-Kotte) หรือเรียกสั้นๆ ว่า Kotte, มหานุวาระ (ชื่อเดิมคือ เซนคาทกาลปุระ) (Maha Nuvara (Senkadagalapura) ทั้งสองอาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรของชาวสิงหล และอาณาจักรจ๊าฟน่า หรือยาสปนัม (Jaffna or Yazhpanam) ของชาวทมิฬ
จากยุคของพระเจ้า วิชชยะ ซึ่งถือว่าเป็นกษัตริย์องค์แรกของลังกา มาถึงยุคของราชวงศ์ อนุราชปุระ (Anuradhapura dynasty) ซึ่งเริ่มขึ้นในราว ๒๕๐ ปีก่อนค.ศ. ในยุคนี้ก็มีเริ่มมีการแย่งชิงอำนาจกันแล้วระหว่างชาวสิงหลและชาวทมิฬ ต่อมากษัตริย์ เอลาร่า (ปี ๒๓๕-๑๖๑ ก่อนค.ศ.) แห่งราชวงศ์ โจละ (ชาวทมิฬ) ก็แผ่ขยายอำนาจเหนือลังกา แต่ก็ถูกกษัตริย์ Dutthagamani ชาวสิงหล เอาชนะได้ในปี ๑๖๑ ก่อนค.ศ. ชาวสิงหลกับชาวทมิฬ ยังคงรบกันเรื่อยมา
ก่อนฝรั่งชาติตะวันตกจะเข้ามา บนเกาะลังกามีอาณาจักรอยู่ ๓ อาณาจักร คือ ศรีชยวาเทนปุระ (Sri Jayawardenapura-Kotte) หรือเรียกสั้นๆ ว่า Kotte, มหานุวาระ (ชื่อเดิมคือ เซนคาทกาลปุระ) (Maha Nuvara (Senkadagalapura) ทั้งสองอาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรของชาวสิงหล และอาณาจักรจ๊าฟน่า หรือยาสปนัม (Jaffna or Yazhpanam) ของชาวทมิฬ
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555
จังหวัดน่าน
ที่วัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน
เขาว่ากันว่า
ไม่สามารถปิดทองหลังพระได้
เพราะพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ ได้แก่
1.พระพุทธเจ้ากกุสันทะ
2.พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ
3.พระพุทธเจ้ากัสสปะ
4.พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หันหลังชนกัน
เขาว่ากันว่า
ไม่สามารถปิดทองหลังพระได้
เพราะพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ ได้แก่
1.พระพุทธเจ้ากกุสันทะ
2.พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ
3.พระพุทธเจ้ากัสสปะ
4.พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หันหลังชนกัน
http://www.jogandjoy.com/webboard.php?id=1083&wpid=0000
วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
เทวสถาน โบสถ์พราหมณ์
เทวสถาน โบสถ์พราหมณ์ เป็นเทวสถานในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นิยมเรียกกันว่า เทวสถาน โบสถ์พราหมณ์ ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 268 ถนนบ้านดินสอ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ใกล้เสาชิงช้า และศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2327 มีโบสถ์ทั้งหมด ๓ หลัง เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนชั้นเดียว มีกำแพงล้อมรอบ ปัจจุบันมีอายุได้ 222 ปี
เทวสถานได้ขึ้นทะเบียนเป็น โบราณวัตถุสถาน สำคัญของชาติ ประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 66 ตอนที่ 64 วันที่ 2 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2492 หน้าที่ 5281 ลำดับที่ 11 ประกาศ ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2492
http://www.th.wikipedia.org/
ข้อมูลเพิ่มเติม
เทวสถานได้ขึ้นทะเบียนเป็น โบราณวัตถุสถาน สำคัญของชาติ ประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 66 ตอนที่ 64 วันที่ 2 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2492 หน้าที่ 5281 ลำดับที่ 11 ประกาศ ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2492
http://www.th.wikipedia.org/
พ.ศ. 2327 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เห่เรือฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ
ดั่งบัวบานเบิกสร้อย เกสร
ดั่งประทีปทินกร ก่องหล้า
ไตรรัตนบวร สว่างโลก
สุดแผ่นดินสิ้นฟ้า เฟื่องฟื้นฟูธรรม ฯ
เรืองเรืองพระไตรรัตน์ แจ่มจำรัสปฐพี
ร่มเย็นเป็นอันดี สุกแสงสีส่องโลกา
เบญจางค์ต่างธูปเทียน ประทีปเวียนน้อมวันทา
พวงพุ่มกลุ่มผกา เป็นมาลามาลัยกรอง
(กาพย์เห่เรือฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ โดย อาจารย์ฉันท์ ขำวิไล)
เห่เรือฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ
วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555
พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

เสด็จพระราชสมภพ ..... เมื่อวันเสาร์ที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๘
ณ ..... พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
ทรงมีพระนามเดิมว่า ..... สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์
ณ ..... พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
ทรงมีพระนามเดิมว่า ..... สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์
ประวัติ
พระที่นั่งอัมพรสถาน เป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน
พระราชวังดุสิตใน พ.ศ. 2445 เมื่อครั้งเสด็จมาประทับเป็นการถาวรที่พระที่นั่งวิมานเมฆเพื่อเป็นที่ประทับ และเป็นที่
ทรงพระสำราญ พระที่นั่งองค์นี้สร้างเสร็จใน พ.ศ. 2449 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานนามว่า
พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อสร้างพระที่นั่งอัมพรสถานเสร็จเรียบร้อยแล้วโปรดเกล้าฯราชพิธีเฉลิมพระราชมนเทียร ระหว่าง วันที่ 18 - 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2449 และได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับ ณ พระราชวังสวนดุสิตเป็นประจำ จนกระทั่ง
เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453
พระที่นั่งอัมพรสถานได้ใช้เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชอยู่ระยะหนึ่งก่อนที่
ี่จะเสด็จไปประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และต่อมาใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อทรงเสกสมรสกับหม่อมหลวงโสมสวลี กิติยากร ( ต่อมาคือ
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ )
พระราชวังดุสิตใน พ.ศ. 2445 เมื่อครั้งเสด็จมาประทับเป็นการถาวรที่พระที่นั่งวิมานเมฆเพื่อเป็นที่ประทับ และเป็นที่
ทรงพระสำราญ พระที่นั่งองค์นี้สร้างเสร็จใน พ.ศ. 2449 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานนามว่า
พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อสร้างพระที่นั่งอัมพรสถานเสร็จเรียบร้อยแล้วโปรดเกล้าฯราชพิธีเฉลิมพระราชมนเทียร ระหว่าง วันที่ 18 - 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2449 และได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับ ณ พระราชวังสวนดุสิตเป็นประจำ จนกระทั่ง
เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453
พระที่นั่งอัมพรสถานได้ใช้เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชอยู่ระยะหนึ่งก่อนที่
ี่จะเสด็จไปประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และต่อมาใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อทรงเสกสมรสกับหม่อมหลวงโสมสวลี กิติยากร ( ต่อมาคือ
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ )
พระพุทธรูปงดงาม ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน (ยังไม่ได้ไปเลยอิอิ)
วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555
วัดไตรมิตรหรือวัดสามจีน
วัดไตรมิตรวิทยาราม ตั้งอยู่ที่ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เป็นวัดโบราณอยู่ในที่ลุ่มพระอารามเป็นเรือนไม้ มีชื่อเดิมว่าวัดสามจีน เข้าใจกันว่า จีน 3 คนร่วมกันสร้างพระอารามเพื่อเป็นวิหารทานการบุญ (มีความตำนานใกล้เคียงกับวัดนางปลื้ม (วัดสามปลื้ม) หรือวัดจักรวรรดิฯ ทำนองเดียวกัน)
ในปีพุทธศักราช 2477 พระมหากิ๊ม สุวรรณชาต ผู้รักษาการในหน้าที่เจ้าอาวาสเป็นผู้ริเริ่มปรับปรุงวัด ต่อมาในปีพุทธศักราช 2480 ได้รับอนุมัติจากมหาเถรสมาคมให้ปรับปรุงสภาพวัดให้ดีขึ้น ปีพุทธศักราช 2482 พ่อค้าประชาชน คณะครูและนักเรียน ได้ร่วมกันปฏิสังขรณ์และเปลี่ยนนามใหม่ เป็นชื่อ วัดไตรมิตรวิทยาราม ซึ่งมีความหมายว่า เพื่อน 3 คนร่วมกันสร้างวัดนี้ ประกอบกับวัดเป็นที่ตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมและโรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัยของรัฐบาลอยู่ภายในบริเวณของวัด
สิ่งสำคัญของวัด คือ พระสุโขทัยไตรมิตร เป็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุด และได้รับการบันทึกในหนังสือกินเนสบุ๊คออฟเรคคอดร์ พระพุทธรูปทองคำองค์นี้มีหน้าตั้งกว้าง 3.01 เมตร สูง 3.91 เมตร องค์พระสามารถถอดได้ 9 องค์ จากฐานองค์พระขึ้นไปเนื้อทองบริสุทธิ์ 40 %พระพักตร์มีเนื้อทอง 80 % ส่วนพระเกศมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัม เป็นเนื้อทองบริสุทธิ 99.99 %
สันนิษฐานว่า สร้างในสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัย เข้าใจว่า เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้โปรดให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ไปอันเชิญ พระพุทธรูปมาจากเมืองเหนือเพื่อนำมาประดิษฐานยังวัดสำคัญ พระพุทธรูปที่เชิญมามีจำนวนมาก ทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง ขุนนางผู้หนึ่งจึงแอบเอาปูนไล้พระพุทธรูปทองคำแล้วนำมาไว้ยังวัดที่ตนสร้าง จนได้อันเชิญมาไว้ที่วัดพระยาไกร (วัดโชติการาม) ต่อมาบริษัทอิสท์เอเซียติกได้ขอเช่าที่วัด (ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดร้างแล้ว) เป็นโรงเลื่อยจักร จึงได้อันเชิญไว้ที่ข้างพระเจดีย์และปลูกเพิงสังกะสีมุงเป็นหลังคากั้นไว้ อย่างหยาบ ๆ หลังจากนั้นเป็นเวลาเกือบ 20 ปี เมื่อพระอุโบสถและพระวิหารหลังใหม่สร้างเสร็จ จึงได้อัญเชิญชั้นประดิษฐาน แต่ในระหว่างการเคลื่อนย้ายปูนที่หุ้มองค์พระกะเทาะออก จึงทำให้เห็นองค์พระข้างในเป็นทองคำ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2498
"สาเหตุที่คนอยากได้วัตถุปัจจัยมาก เนื่องจากระบบการปกครอง ที่มุ่งสู่ความมั่งคั่ง ลักษณะเศรษฐศาสตร์ที่มุ่งจะพัฒนาเศรษฐกิจให้มั่งคั่ง ประชาชนมั่งมีนั้น ใช้ไม่ได้หรอก แต่เศรษฐศาสตร์ควรจะมุ่งกำจัด หรือขจัดความยากไร้ ความไม่เป็นธรรมออกไป จุดมุ่งหมายคนละอย่าง มุ่งสู่ความมั่งคั่ง โดยไม่แยแสความยากไร้ของคนจน เมื่อผู้คนถูกกระทำ ให้เห่อเหิมอยากได้วัตถุปัจจัยมาก ๆ ทางเดียวก็คือ อ้อนวอนเทพเจ้าแล้วเชื่อในปาฏิหาริย์ เหมือนสมัยนี้ครับ เพราะมันเชื่ออะไรไม่ได้ พึ่งอะไรไม่ได้ ไม่อาจโยงความหวังไว้กับรัฐบาลชุดไหนได้ มีทางเดียว คือพระพรหมนั่นแหละ
(ข้อมูลจากhttp://www.sarakadee.com/feature/2001/05/gathering_gods.htm)
วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555
ปราสาทบันทายศรี
ปราสาทแห่งนี้สร้างอุทิศถวายพระอิศวรภายใต้พระนามว่า ตรีภูวนมเหศวร หรือ ผู้เป็นใหญ่แห่งโลกทั้งสาม ปราสาทมีขนาดเล็ก สร้างด้วยหินทรายสีชมพูซึ่งหายาก สร้างขึ้นเมื่อ เดือนเมษายน - พฤษภาคม พ.ศ. 1510 โดยพราหมณ์ชื่อ ยัชญวราหะ ในตอนปลายของสมัยพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 (หรือพระเจ้า ชัยวรมันที่ 4 พ.ศ. 1487 - 1511) และเสร็จในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 (พ.ศ. 1511-1554)
ซุ้มประตูทางเข้า จำหลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณลวดลายมีความละเอียดสวยงามมาก
ซุ้มทางซ้ายมือ จำหลักภาพพระอิศวรทรงโค มีพระอุมาเทวีประทับด้านซ้าย
ซุ้มทางขวามือ มีรูปพระนารายณ์อวตารเป็นนรสิงห์
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)





