วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ศรีลังกา

ศรีลังกา มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ที่เรารู้จักกันดีคือตำนานเรื่อง รามยณะ (หรือรามเกียรติ ของเรา) ที่ถือว่าเป็นเสมือนบันทึกในยุคก่อนประวัติศาสตร์ กรุงลงกา ก็คือลังกา นี่เอง ตำนานยุคต่อมาคือ เรื่อง เจ้าชาย วิชชายะ (Vijaya) ซึ่งบันทึกเป็นตำนานในภาษาบาลี คือ ดิภาวามสะ (Dipavamsa) , มหาวามสะ (Mahavamsa) และ จุลละวามสะ (Chulavamsa) ประวัติศาสตร์ตรงนี้คาดว่า เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ตำนานกล่าวว่า เจ้าชาย วิชชายะ (เรียกสั้นๆ แบบไทย คงเป็น วิชัย) อพยพออกจากดินแดนของตนพร้อมทั้งไพร่พล มาจากอินเดียโดยทางเรือ ตำนานกล่าวว่า เจ้าชายมีบิดาเป็นลูกครึ่งสิงห์-มนุษย์ เจ้าชาย วิชชยะ นี่เองคือที่มาของคำว่า สิงหล
จากยุคของพระเจ้า วิชชยะ ซึ่งถือว่าเป็นกษัตริย์องค์แรกของลังกา มาถึงยุคของราชวงศ์ อนุราชปุระ (Anuradhapura dynasty) ซึ่งเริ่มขึ้นในราว ๒๕๐ ปีก่อนค.ศ. ในยุคนี้ก็มีเริ่มมีการแย่งชิงอำนาจกันแล้วระหว่างชาวสิงหลและชาวทมิฬ ต่อมากษัตริย์ เอลาร่า (ปี ๒๓๕-๑๖๑ ก่อนค.ศ.) แห่งราชวงศ์ โจละ (ชาวทมิฬ) ก็แผ่ขยายอำนาจเหนือลังกา แต่ก็ถูกกษัตริย์ Dutthagamani ชาวสิงหล เอาชนะได้ในปี ๑๖๑ ก่อนค.ศ. ชาวสิงหลกับชาวทมิฬ ยังคงรบกันเรื่อยมา

ก่อนฝรั่งชาติตะวันตกจะเข้ามา บนเกาะลังกามีอาณาจักรอยู่ ๓ อาณาจักร คือ ศรีชยวาเทนปุระ (Sri Jayawardenapura-Kotte) หรือเรียกสั้นๆ ว่า Kotte, มหานุวาระ (ชื่อเดิมคือ เซนคาทกาลปุระ) (Maha Nuvara (Senkadagalapura) ทั้งสองอาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรของชาวสิงหล และอาณาจักรจ๊าฟน่า หรือยาสปนัม (Jaffna or Yazhpanam) ของชาวทมิฬ

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

จังหวัดน่าน

ที่วัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน
เขาว่ากันว่า
ไม่สามารถปิดทองหลังพระได้
เพราะพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ ได้แก่
1.พระพุทธเจ้ากกุสันทะ
2.พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ
3.พระพุทธเจ้ากัสสปะ
4.พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หันหลังชนกัน




-ข้อมูลจาก
http://www.jogandjoy.com/webboard.php?id=1083&wpid=0000

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เทวสถาน โบสถ์พราหมณ์

เทวสถาน โบสถ์พราหมณ์ เป็นเทวสถานในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นิยมเรียกกันว่า เทวสถาน โบสถ์พราหมณ์ ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 268 ถนนบ้านดินสอ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ใกล้เสาชิงช้า และศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2327 มีโบสถ์ทั้งหมด ๓ หลัง เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนชั้นเดียว มีกำแพงล้อมรอบ ปัจจุบันมีอายุได้ 222 ปี

เทวสถานได้ขึ้นทะเบียนเป็น โบราณวัตถุสถาน สำคัญของชาติ ประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 66 ตอนที่ 64 วันที่ 2 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2492 หน้าที่ 5281 ลำดับที่ 11 ประกาศ ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2492

http://www.th.wikipedia.org/

พ.ศ. 2327 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี



ข้อมูลเพิ่มเติม

เห่เรือฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ













ดั่งบัวบานเบิกสร้อย เกสร
ดั่งประทีปทินกร ก่องหล้า
ไตรรัตนบวร สว่างโลก
สุดแผ่นดินสิ้นฟ้า เฟื่องฟื้นฟูธรรม ฯ

เรืองเรืองพระไตรรัตน์ แจ่มจำรัสปฐพี
ร่มเย็นเป็นอันดี สุกแสงสีส่องโลกา

เบญจางค์ต่างธูปเทียน ประทีปเวียนน้อมวันทา
พวงพุ่มกลุ่มผกา เป็นมาลามาลัยกรอง

(กาพย์เห่เรือฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ โดย อาจารย์ฉันท์ ขำวิไล)

เห่เรือฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต



เสด็จพระราชสมภพ ..... เมื่อวันเสาร์ที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๘
ณ ..... พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
ทรงมีพระนามเดิมว่า ..... สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์







ประวัติ
                    พระที่นั่งอัมพรสถาน เป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน
พระราชวังดุสิตใน พ.ศ. 2445 เมื่อครั้งเสด็จมาประทับเป็นการถาวรที่พระที่นั่งวิมานเมฆเพื่อเป็นที่ประทับ และเป็นที่
ทรงพระสำราญ พระที่นั่งองค์นี้สร้างเสร็จใน พ.ศ. 2449  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานนามว่า
พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อสร้างพระที่นั่งอัมพรสถานเสร็จเรียบร้อยแล้วโปรดเกล้าฯราชพิธีเฉลิมพระราชมนเทียร ระหว่าง วันที่ 18 - 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2449 และได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับ ณ พระราชวังสวนดุสิตเป็นประจำ จนกระทั่ง
เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453
                    พระที่นั่งอัมพรสถานได้ใช้เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชอยู่ระยะหนึ่งก่อนที่
ี่จะเสด็จไปประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน    และต่อมาใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร  เมื่อทรงเสกสมรสกับหม่อมหลวงโสมสวลี กิติยากร ( ต่อมาคือ
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ )

พระพุทธรูปงดงาม ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน (ยังไม่ได้ไปเลยอิอิ)




วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

วัดไตรมิตรหรือวัดสามจีน


วัดไตรมิตรวิทยาราม ตั้งอยู่ที่ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เป็นวัดโบราณอยู่ในที่ลุ่มพระอารามเป็นเรือนไม้ มีชื่อเดิมว่าวัดสามจีน เข้าใจกันว่า จีน 3 คนร่วมกันสร้างพระอารามเพื่อเป็นวิหารทานการบุญ (มีความตำนานใกล้เคียงกับวัดนางปลื้ม (วัดสามปลื้ม) หรือวัดจักรวรรดิฯ ทำนองเดียวกัน)
ในปีพุทธศักราช 2477 พระมหากิ๊ม สุวรรณชาต ผู้รักษาการในหน้าที่เจ้าอาวาสเป็นผู้ริเริ่มปรับปรุงวัด ต่อมาในปีพุทธศักราช 2480 ได้รับอนุมัติจากมหาเถรสมาคมให้ปรับปรุงสภาพวัดให้ดีขึ้น ปีพุทธศักราช 2482 พ่อค้าประชาชน คณะครูและนักเรียน ได้ร่วมกันปฏิสังขรณ์และเปลี่ยนนามใหม่ เป็นชื่อ วัดไตรมิตรวิทยาราม ซึ่งมีความหมายว่า เพื่อน 3 คนร่วมกันสร้างวัดนี้ ประกอบกับวัดเป็นที่ตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมและโรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัยของรัฐบาลอยู่ภายในบริเวณของวัด
สิ่งสำคัญของวัด คือ พระสุโขทัยไตรมิตร เป็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุด และได้รับการบันทึกในหนังสือกินเนสบุ๊คออฟเรคคอดร์ พระพุทธรูปทองคำองค์นี้มีหน้าตั้งกว้าง 3.01 เมตร สูง 3.91 เมตร องค์พระสามารถถอดได้ 9 องค์ จากฐานองค์พระขึ้นไปเนื้อทองบริสุทธิ์ 40 %พระพักตร์มีเนื้อทอง 80 % ส่วนพระเกศมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัม เป็นเนื้อทองบริสุทธิ 99.99 %
สันนิษฐานว่า สร้างในสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัย เข้าใจว่า เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้โปรดให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ไปอันเชิญ พระพุทธรูปมาจากเมืองเหนือเพื่อนำมาประดิษฐานยังวัดสำคัญ พระพุทธรูปที่เชิญมามีจำนวนมาก ทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง ขุนนางผู้หนึ่งจึงแอบเอาปูนไล้พระพุทธรูปทองคำแล้วนำมาไว้ยังวัดที่ตนสร้าง จนได้อันเชิญมาไว้ที่วัดพระยาไกร (วัดโชติการาม) ต่อมาบริษัทอิสท์เอเซียติกได้ขอเช่าที่วัด (ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดร้างแล้ว) เป็นโรงเลื่อยจักร จึงได้อันเชิญไว้ที่ข้างพระเจดีย์และปลูกเพิงสังกะสีมุงเป็นหลังคากั้นไว้ อย่างหยาบ ๆ หลังจากนั้นเป็นเวลาเกือบ 20 ปี เมื่อพระอุโบสถและพระวิหารหลังใหม่สร้างเสร็จ จึงได้อัญเชิญชั้นประดิษฐาน แต่ในระหว่างการเคลื่อนย้ายปูนที่หุ้มองค์พระกะเทาะออก จึงทำให้เห็นองค์พระข้างในเป็นทองคำ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2498

"สาเหตุที่คนอยากได้วัตถุปัจจัยมาก เนื่องจากระบบการปกครอง ที่มุ่งสู่ความมั่งคั่ง ลักษณะเศรษฐศาสตร์ที่มุ่งจะพัฒนาเศรษฐกิจให้มั่งคั่ง ประชาชนมั่งมีนั้น ใช้ไม่ได้หรอก แต่เศรษฐศาสตร์ควรจะมุ่งกำจัด หรือขจัดความยากไร้ ความไม่เป็นธรรมออกไป จุดมุ่งหมายคนละอย่าง มุ่งสู่ความมั่งคั่ง โดยไม่แยแสความยากไร้ของคนจน เมื่อผู้คนถูกกระทำ ให้เห่อเหิมอยากได้วัตถุปัจจัยมาก ๆ ทางเดียวก็คือ อ้อนวอนเทพเจ้าแล้วเชื่อในปาฏิหาริย์ เหมือนสมัยนี้ครับ เพราะมันเชื่ออะไรไม่ได้ พึ่งอะไรไม่ได้ ไม่อาจโยงความหวังไว้กับรัฐบาลชุดไหนได้ มีทางเดียว คือพระพรหมนั่นแหละ
(ข้อมูลจากhttp://www.sarakadee.com/feature/2001/05/gathering_gods.htm)